ภูมิปัญญาไทย
ภูมิปัญญาไทย ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Wisdom หมายถึง ความรู้ความสามารถ วิธีการผลงานที่คนไทยได้ค้นคว้า รวบรวม และจัดเป็นความรู้ ถ่ายทอด ปรับปรุง จากคนรุ่นหนึ่งมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จนเกิดผลิตผลที่ดี งดงาม มีคุณค่า มีประโยชน์ สามารถนำมาแก้ปัญหาและพัฒนาวิถีชีวิตได้แต่ละหมู่บ้าน แต่ละชุมชนไทย ล้วนมีการทำมาหากินที่สอดคล้องกับภูมิประเทศ มีผู้นำที่มีความรู้ มีฝีมือทางช่าง สามารถคิดประดิษฐ์ ตัดสินใจแก้ปัญหาของชาวบ้านได้ ผู้นำเหล่านี้ เรียกว่า ปราชญ์ชาวบ้าน หรือผู้ทรงภูมิปัญญาไทย
คุณค่าและความสำคัญของภูมิปัญญาไทย
คุณค่าของภูมิปัญญาไทย ได้แก่ ประโยชน์และความสำคัญของภูมิปัญญา ที่บรรพบุรุษไทยได้สร้างสรรค์ และสืบทอดมาอย่างต่อเนื่องจากอดีตสู่ปัจจุบัน ทำให้คนในชาติเกิดความรักและความภาคภูมิใจ ที่จะร่วมแรงร่วมใจสืบสานต่อไปในอนาคต เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาปัตยกรรม ประเพณีไทย การมีน้ำใจ ศักยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นต้น ภูมิปัญญาไทยจึงมีคุณค่าและความสำคัญดังนี้
1. ภูมิปัญญาไทยช่วยสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นพระมหากษัตริย์ได้ใช้ภูมิปัญญาในการสร้างชาติ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่
ประเทศชาติมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงปกครองประชาชนด้วยพระเมตตาแบบพ่อปกครองลูก ผู้ใดประสบความเดือดร้อนก็สามารถตีระฆังแสดงความเดือดร้อนเพื่อขอรับพระราชทานความช่วยเหลือทำให้ประชาชนมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ต่อประเทศชาติ ร่วมกันสร้างบ้านเมืองจนเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่น
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญากระทำยุทธหัตถีจนชนะข้าศึกศัตรู และทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชการปัจจุบัน พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญาสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และเหล่าพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช้พระปรีชาสามารถแก้ไขวิกฤติการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ จนรอดพ้นภัยพิบัติหลายครั้ง พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถหลายด้าน แม้แต่ด้านการเกษตร พระองค์ได้พระราชทานทฤษฎีใหม่ให้แก่พสกนิกร ทั้งด้านการเกษตรแบบสมดุลและยั่งยืน ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม นำความสงบร่มเย็นของประชาชนให้กลับคืนมา แนว แนวพระราชดำริ “ทฤษฎีใหม่” แบ่งออกเป็น 3 ชั้น โดยเริ่มจาก
ขั้นตอนแรก ให้เกษตรกรรายย่อย “มีพออยู่พอกิน” เป็นขั้นพื้นฐาน โดยการพัฒนาแหล่งน้ำในในไร่นา ซึ่งเกษตรกรจำเป็นที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยราชการ มูลนิธิ และหน่วยงานเอกชน ร่วมใจกันพัฒนาสังคมไทย ในขั้นที่สอง เกษตรกรต้องมีความเข้าใจในการจัดการในไร่นาของตน และมีการรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์ เพื่อสร้างประสิทธิภาพทางการผลิตและการตลาด การลดรายจ่ายด้านความเป็นอยู่ โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค์กรเอกชน เมื่อกลุ่มเกษตรวิวัฒน์มา
ขั้นที่ 2 แล้ว ก็จะมีศักยภาพในการพัฒนาไปสู่
ขั้นที่ 3 ซึ่งจะมีอำนาจในการต่อรองผลประโยชน์กับสถาบันการเงิน คือ ธนาคาร และองค์กรที่เป็นเจ้าของแหล่งพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการผลิตโดยมีการแปรรูปผลิตผล เช่น โรงสี เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตผล และขณะเดียวกันมีการจัดตั้งร้านค้าสหกรณ์เพื่อลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคมจะเห็นได้ว่า มิได้ทรงทอดทิ้งหลักของความสามัคคีในสังคมและการจัดตั้งสหกรณ์ ซึ่งทรงสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรสร้างอำนาจต่อรองในระบบเศรษฐกิจจึงจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงจัดได้ว่าเป็นสังคมเกษตรที่พัฒนาแล้ว สมดังพระราชประสงค์ที่ทรงอุทิศพระวรกายและพระสติปัญญา ในการพัฒนาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์
2. สร้างความภาคภูมิใจ และศักดิ์ศรี เกียรติภูมิแก่คนไทย
คนไทยในอดีตที่มีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร์มีมาก เป็นที่ยอมรับของ
นานาอารยประเทศ เช่น นายขนมต้มเป็นนักมวยไทยที่มีฝีมือ เก่งในการใช้อวัยวะทุกส่วน ทุกท่าของแม่ไม้มวยไทย สามารถชกมวยไทยจนชนะพม่าได้ถึงเก้าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม้ในปัจจุบันมวยไทยก็ยังถือว่า เป็นศิลปะชั้นเยี่ยม เป็นที่นิยมฝึกและแข่งขันในหมู่คนไทยและชาวต่างประเทศ ปัจจุบันมีค่ายมวยไทยทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 30,000 แห่ง ชาวต่างประเทศที่ได้ฝึกมวยไทยจะรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจ ในการที่จะใช้กติกาของมวยไทย เช่น การไหว้ครูมวยไทย การออกคำสั่งในการชกเป็นภาษาไทยทุกคำ เช่น คำว่า “ชก” “นับหนึ่งถึงสิบ” เป็นต้น ถือเป็นมรดกภูมิปัญญาไทย นอกจากนี้ ภูมิปัญญาไทยที่โดดเด่นยังมีอีกมากมาย เช่น มรดกภูมิปัญญาทางภาษาและวรรณกรรม โดยที่มีอักษรไทยเป็นของตนเองมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมไทยถือว่าเป็นวรรณกรรมที่มีความไพเราะ ได้อรรถรสครบทุกด้าน วรรณกรรมหลายเรื่องได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา
ด้านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารที่ปรุงง่าย พืชที่ใช้ประกอบอาหารส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นและราคาถูก มีคุณค่าทางโภชนาการ และยังป้องกันโรคได้หลายโรค เพราะส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า กระชาย ใบมะกรูด ใบโหระพา ใบกระเพรา เป็นต้น
3. สามารถปรับประยุกต์หลักธรรมคำสอนทางศาสนาใช้กับวิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสม
คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยนำหลักธรรมคำสอนของศาสนามาปรับใช้ใน
วิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสม ทำให้คนไทยเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความอดทน ให้อภัยแก่ผู้สำนึกผิด ดำรงวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายปกติสุข ทำให้คนในชุมชนพึ่งพากันได้ แม้จะอดอยากเพราะแห้งแล้ง แต่ไม่มีใครอดตาย เพราะพึ่งพาอาศัยกัน แบ่งปันกันแบบ “พริกบ้านเหนือเกลือบ้านใต้” เป็นต้น ทั้งหมดนี้สืบเนื่องมาจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นการใช้ภูมิปัญญาในการนำเอาหลักของพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน และดำเนินกุศโลบายด้านต่างประเทศ จนทำให้ชาวพุทธทั่วโลกยกย่องให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางพุทธศาสนา และเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พสล.) อยู่เยื้อง ๆ กับอุทยานเบญจสิริ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรี) ดำรงตำแหน่งประธาน พสล. ต่อจาก ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล
4. สร้างความสมดุลระหว่างคนในสังคมและธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน
ภูมิปัญญาไทยมีความเด่นชัดในเรื่องของการยอมรับนับถือ และให้ความสำคัญแก่
คน สังคม และธรรมชาติอย่างยิ่ง มีเครื่องชี้ที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนมากมาย เช่น ประเพณีไทย 12 เดือนตลอดทั้งปี ล้วนเคารพคุณค่าของธรรมชาติ ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง เป็นต้น ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีที่ทำในฤดูร้อนซึ่งมีอากาศร้อน ทำให้ต้องการความเย็น จึงมีการรดน้ำดำหัว ทำความสะอาดบ้านเรือนและธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มีการแห่นางสงกรานต์การทำนายฝนว่าจะตกมากหรือน้อยในแต่ละปี ส่วนประเพณีลอยกระทง คุณค่าอยู่ที่การบูชาระลึกถึงบุญคุณของน้ำ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของคน พืช และสัตว์ ให้ได้ใช้ทั้งบริโภคและอุปโภคในวันลอยกระทง คนจึงทำความสะอาดแม่น้ำ ลำธาร บูชาแม่น้ำ จากตัวอย่างข้างต้น ล้วนเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสังคมและธรรมชาติทั้งสิ้น
ในการรักษาป่าไม้ต้นน้ำลำธาร ได้ประยุกต์ให้มีประเพณีการบวชป่า ให้คนเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อม ยังคงความอุดมสมบูรณ์แก่ต้นน้ำ ลำธาร ให้ฟื้นสภาพกลับคืนมาได้มาก
อาชีพการเกษตรเป็นอาชีพหลักของคนไทยที่คำนึงถึงความสมดุล ทำแต่น้อยพออยู่พอกินแบบ “เฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน” ของพ่อทองดี นันทะ เมื่อเหลือกินก็แจกญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน บ้านใกล้เรือนเคียง นอกจากนี้ ยังนำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งของอย่างอื่นที่ตนไม่มี เมื่อเหลือใช้จริง ๆ จึงจะนำไปขาย อาจกล่าวได้ว่า เป็นการเกษตรแบบ “กิน-แจก-แลก-ขาย” ทำให้คนในสังคมได้ช่วยเหลือเกื้อกูล แบ่งปันกัน เคารพรักนับถือ เป็นญาติกันทั้งหมู่บ้าน จึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ธรรมชาติไม่ถูกทำลายไปมากนัก เนื่องจากทำพออยู่พอกิน ไม่โลภมากและไม่ทำลายทุกอย่างผิดกับในปัจจุบัน ถือเป็นภูมิปัญญาที่สร้างความสมดุลระหว่างคน สังคม และธรรมชาติ
5. เปลี่ยนแปลงปรับปรุงได้ตามยุคสมัย
แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป ความรู้สมัยใหม่จะหลั่งไหลเข้ามามาก แต่ภูมิปัญญาไทยก็
สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับยุคสมัย เช่น การรู้จักนำเครื่องยนต์มาติดตั้งกับเรือ ใส่ใบพัดเป็นหางเสือ ทำให้เรือสามารถแล่นได้เร็วขึ้น เรียกว่า เรือหางยาว การรู้จักทำการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟื้นคืนธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์แทนสภาพเดิมที่ถูกทำลายไป การรู้จักออมเงิน สะสมทุนให้สมาชิกกู้ยืม ปลดเปลื้องหนี้สิน และจัดสวัสดิการแก่สมาชิก จนชุมชนมีความมั่นคง เข้มแข็ง สามารถช่วยตนเองได้หลายร้อยหมู่บ้านทั่วประเทศ เช่น กลุ่มออมทรัพย์
คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราชจัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถช่วยตนเองได้
เมื่อป่าถูกทำลายเพราะถูกตัดโค่นเพื่อปลูกพืชแบบเดี่ยวตามภูมิปัญญาสมัยใหม่ที่หวังร่ำรวย แต่ในที่สุดก็ขาดทุนและมีหนี้สิน สภาพแวดล้อมสูญเสีย เกิดความแห้งแล้ง คนไทยจึงคิดปลูกป่าที่กินได้ มีพืชสวน พืชป่า ไม้ผล พืชสมุนไพร ซึ่งสามารถมีกินตลอดชีวิตเรียกว่า “วนเกษตร” บางพื้นที่เมื่อป่าชุมชนถูกทำลาย คนในชุมชนก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มรักษาป่า ร่วมกันสร้างระเบียบกฎเกณฑ์กันเอง ให้ทุกคนถือปฏิบัติได้ สามารถรักษาป่าได้อย่างสมบูรณ์ดังเดิม
เมื่อปะการังธรรมชาติถูกทำลาย ปลาไม่มีที่อยู่อาศัย ประชาชนสามารถสร้าง “อูหยัม” ขึ้นเป็นปะการังเทียม ให้ปลาอาศัยวางไข่และแพร่พันธุ์ให้เจริญเติบโตมีจำนวนมากดังเดิมได้ถือเป็นการใช้ภูมิปัญญาปรับปรุงประยุกต์ใช้ได้ตามยุคสมัย
การพัฒนาสังคมด้านภูมิปัญญา
ปี พ.ศ.2551 เป็นอีกปีหนึ่งที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยไม่ใช่โชติช่วงชัชวาล ทั้งนี้เป็นผลมาจากผลกระทบจากหนี้ด้อยคุณภาพของประเทศสหรัฐอเมริกา (ซับไพรม์) ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถีบตัวสูงขึ้น ปัญหาความขัดแย้งและก่อการร้ายในหลายภูมิภาค รวมทั้งภาวะโลกร้อนที่ก่อให้เกิดมหันตภัยต่าง ๆ ประเทศไทยนอกจากจะได้รับผลกระทบระดับโลกแล้ว ยังมีผลสืบเนื่องจากการปฏิวัติในประเทศด้วย ปัญหาความแตกแยกทางความคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง คนไทยต้องเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อมนานัปการ อยู่ในสภาพ “ข้าวยาก หมากแพง” รายได้คงที่หรือลดลงแต่ค่าครองชีพสูงขึ้น ปัญหาอาชญากรรม และความไม่สงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเยาวชน ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้เดือดร้อนเพิ่มจำนวนมากขึ้นรัฐบาลได้ประกาศทิศทางการพัฒนาประเทศออกมาว่าจะนำโครงการประชานิยมที่เคยทำในอดีตมาใช้และประชาชนจำนวนมากก็แสดงออกผ่านการทำโพลล์ของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ว่า ประสงค์ให้รัฐบาลนำโครงการประชานิยมที่เคยทำสมัยรัฐบาลไทยรักไทยกลับมาอีกครั้งโครงการประชานิยมที่พูดถึงกันได้แก่ โครงการหวยบนดิน บ้านเอื้ออาทร กองทุนหมู่บ้าน กองทุนพัฒนาหมู่บ้าน เอส เอ็ม แอล โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการโคล้านตัว โครงการเรียนระดับพื้นฐานฟรีและกู้ยืมเงินเรียนในระดับที่สูงขึ้น โครงการพักชำระหนี้เกษตรกร โครงการพัฒนาสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิสาหกิจชุมชน โครงการป้องกันปราบปรามยาเสพติด ฯลฯ นอกจากนี้ รัฐบาลยังจะออกนโยบาย/ยุทธศาสตร์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อหารายได้จากนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น มีเป้าหมายเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศจาก 14 เป็น 20 ล้านคนใน 3 ปี มีการลงทุนภาครัฐขนาดใหญ่ พัฒนาสนามบินนานาชาติ สนามบินในภูมิภาค รวมทั้งการพัฒนาโครงข่ายรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ ขยายระบบขนส่งมวลขนใน กทม. และปริมณฑลและเน้นการค้าเสรี การส่งออก การปล่อยเงินกู้เพื่อเน้นการค้า การลงทุน การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การส่งแรงงานออกไปทำงานต่างประเทศ โดยสามารถกู้ยืมเงินก่อนได้ การกระจายการถือครองที่ดิน โดยออกเอกสารสิทธิ ปรับปรุงระบบอินเตอร์เนตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ฯลฯ แนวทางการพัฒนา และโครงการส่วนใหญ่ยึดแนวคิดเรื่อง การทำให้ทันสมัย เน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยการกระตุ้นทั้งการลงทุนและการบริโภค มากกว่าการพัฒนามิติอื่น ๆ ให้เติบโตเคียงคู่กันไปอย่างบูรณาการ โดยที่โครงการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลทุกชุดต่างพยายามประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เรื่อง การทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสสำคัญต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้ง บรรจุเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นแนวทางหลักในการพัฒนาประเทศซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่การใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผล พอประมาณ และต้องสร้างภูมิคุ้มกันตลอดเวลา ควบคู่ไปกับ การใช้ภูมิปัญญา และคุณธรรม เป้าหมายของการบริหารงานของทุกรัฐบาลก็คือ ความกินดี อยู่ดี หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน อยากให้คนมีความสุข มีรายได้มั่นคง กินดี อยู่ดี มีสุขภาพดี ครอบครัวอบอุ่น มีชุมชนเข้มแข็ง และสังคมอยู่เย็นเป็นสุข มีความสมานฉันท์ และเอื้ออาทรต่อกัน ในด้านการพัฒนาทางสังคมนั้น อาจกล่าวได้ว่า ทำไปเพื่อให้คนมีความมั่นคงของมนุษย์ด้านต่าง ๆ หรือมีความมั่นคงทางสังคมนั่นเอง
การช่วยเหลือทางสังคม
ความมั่นคงทางสังคม หมายรวมถึง การช่วยเหลือทางสังคม (social assistance) ได้แก่ การให้การสงเคราะห์เฉพาะหน้างานและงานสังคมสงเคราะห์แก่ผู้เดือดร้อน ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ เช่น คนพิการ คนที่ถูกทอดทิ้ง คนชรา คนไร้บ้าน คนป่วยเรื้อรัง เด็กกำพร้า ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เดือดร้อนเหล่านั้นสามารถช่วยตนเองได้ในที่สุด หรือแก้ไขปัญหาที่เข้าประสบอยู่ได้ ไม่ต้องมาหวังพึ่งความช่วยเหลือจากผู้อื่นอีกในอนาคต หากการช่วยเหลือประเภทนี้ ทำได้ไม่ดีพอ หรือไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งนอกจากจะเป็นภาระของผู้ให้การช่วยเหลือแล้ว ก็ยังทำให้ผู้รับรู้สึกด้อยคุณค่าหรือศักดิ์ศรีในตนเองด้วย ความช่วยเหลือนี้เป็นกระบวนการทางธรรมชาติ เริ่มต้นจากคนในครอบครัว และในชุมชนช่วยเหลือญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงกันเอง เมื่อมีความรุนแรงมากขึ้น หรือเมื่อครอบครัว ชุมชนไม่สามารถให้การช่วยเหลือได้อย่างพอเพียง รัฐก็จะเข้ามาให้การสนับสนุน หรือหากยังจัดได้ไม่ทั่วถึง ก็มีองค์กรสาธารณประโยชน์/องค์กรพัฒนาเอกชนเข้ามาช่วยเหลือ ในกรณีที่ผู้เดือดร้อนประสบปัญหาที่มีความสลับซับซ้อน จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลืออย่างถูกหลักวิชาการ หรือแบบมืออาชีพจากนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา จิตแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัด นักอาชีวะบำบัด ฯลฯ ซึ่งรัฐและ/หรือองค์กรสาธารณประโยชน์บางแห่งอาจจัดบริการให้
การให้บริการทางสังคม
การให้บริการทางสังคม (social services) หมายถึง การที่รัฐจัดบริการบางอย่างให้ตามความต้องการและสิทธิของประชาชน เช่น การศึกษา ที่อยู่อาศัย แหล่งนันทนาการ การรักษาพยาบาล การรักษาความปลอดภัย และพิทักษ์สิทธิ หากรัฐทำไม่ทั่วถึง ชุมชน และ/หรือองค์กรสาธารณประโยชน์อาจจัดกันเองก็ได้ เช่น กรณีที่พระสงฆ์เคยทำหน้าที่ให้การศึกษา ชุมชนจัดศูนย์กลางการเรียนรู้ ชุมชนมีหมอยา หรือหมอกลางบ้านคอยรักษาทั้งทางกายและใจให้แก่ผู้ป่วย โรงเรียน โรงพยาบาลของภาคธุรกิจเอกชนที่จัดบริการโดยคิดค่าใช้จ่าย
การประกันสังคม
การประกันสังคม (social insurance) ได้แก่ การสร้างหลักประกันในการดำเนินชีวิตในกลุ่มของสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อรับผิดชอบในการเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย คลอดบุตร ตาย ทุพพลภาพ สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และการว่างงาน เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาล และมีรายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นระบบที่มีขนาดใหญ่ ทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐมีส่วนร่วมออกเงินสมทบในกองทุนประกันสังคมนี้ รัฐจึงต้องเข้ามามีส่วนในการบริหารจัดการในระยะเริ่มแรก แต่ในหลายกรณี เช่น ระบบฌาปนกิจประเภทต่าง ๆ ก็มีการจัดโดยรัฐวิสาหกิจ (เช่น ธนาคารเพื่อการเกษ๖รและสหกรณ์การเกษตร) และชุมชนเอง นอกจากนี้ ภาคธุรกิจเอกชนยังได้มีบทบาทในการแบกรับความเสี่ยงส่วนหนึ่งของคนด้วยการรับประกันภัยและประกันชีวิตจากลูกค้าผู้ยินยอมและมีความสามารถในการซื้อกรมธรรม์ประกันภัย
ประเภทของภูมิปัญญา
1. ภูมิปัญญาด้านคติธรรม ความคิด ความเชื่อ หลักการที่เป็นพื้นฐานขององค์ความรู้ที่เกิดจากการสั่งถ่ายทอดกันมา
2. ภูมิปัญญาด้านศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นแบบแผนการดำเนินชีวิตที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา
3. ภูมิปัญญาด้านการประกอบอาชีพในท้องถิ่น ที่ยึดหลักการพึ่งตนเองและได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับกาลสมัย
4. ภูมิปัญญาด้านแนวความคิด หลักปฏิบัติ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ชาวบ้านนำมาดัดแปลงใช้ในชุมชนอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่
นอกจากนี้ยังมีการกำหนดสาขาภูมิปัญญาไทย เพื่อนำภูมิปัญญาไทยมาใช้ในการเรียนรู้และส่งเสริมโดยแบ่งภูมิปัญญาออกเป็น 10 สาขา ดังนี้
1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะ และเทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่าดั้งเดิม สามารถพึ่งพาตนเองในสภาวการณ์ต่าง ๆได้ เช่น การทำการเกษตรแบบผสมผสาน การแก้ปัญหาการเกษตรการแก้ปัญหาด้านการผลิต ด้านการตลาด เช่น การแก้ไขโรคและแมลง การรู้จักปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการเกษตร เป็นต้น
2.สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม (ด้านการผลิติและการบริโภค) หมายถึง การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการแปรรูปผลผลิตเพื่อชะลอการนำเข้าตลาดเพื่อแก้ปัญหาด้านการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็นธรรม อันเป็นขบวนการใช้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจได้ ตลอดทั้งการผลิตและการจำหน่ายผลผลิตทางหัตถกรรม เช่น การรวมกลุ่มของกลุ่มโรงงานยางพารากลุ่มโรงสีกลุ่มหัตถกรรม เป็นต้น
3.สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกันและรักษาสุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งตนเองทางสุขภาพและอนามัยได้
4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติละสิ่งแวดล้อม หมายถึงความสามารถเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งการอนุรักษ์ พัฒนาและใช้ประโยชน์จากคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน
5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการ ด้านการสะสมและบริหารกองทุนและธุรกิจชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตราและโภคทรัพย์ เพื่อเสริมสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของสมาชิกในชุมชน
6.สาขาสวัสดิการ หมายถึง ความสามารถในการจัดการสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิตของคนให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรม
7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางศิลปะสาขาต่าง ๆเช่น จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศีลป์ เป็นต้น
8.สาขาการจัดการ หมายถึง ความสามารถในการบริหารการจัดการดำเนินงานด้านต่าง ๆทั้งองค์กรชุมชน องค์ทางศาสนา องค์กรทางการศึกษา ตลอดทั้งองค์กรทางสังคมอื่น ๆในสังคมไทย เช่น การจัดการองค์กรของกลุ่มแม่บ้าน ระบบผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน การจัดศาสนสถาน การจัดการศึกษา ตลอดทั้งการจัดการเรียนการสอน เป็นต้น กรณีการจัดการศึกษาเรียนรู้นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาสาขาการจัดการที่มีความ สำคัญ เพราะการจัดการศึกษาเรียนรู้ที่ดี หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ พัฒนาและถ่ายทอดความรู้ทางภูมิปัญญาไทยที่มีประสิทธิผล
9.สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถสร้างผลงานทางด้านภาษา ทั้งภาษาโบราณ ภาษาไทยและการใช้ภาษา ตลอดทั้งด้านวรรณกรรมทุกประเภท
10.สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์และปรับใช้หลักธรรมคำสอนทางศาสนา ความเชื่อ และประเพณีดั้งเดิมที่มีค่าให้ความเหมะสมต่อการประพฤติปฏิบัติ
คลิกทำข้อสอบ